ข่าวสาร

สกศ. จับมือ UNICEF ร่วมกับอีก 3 มหาวิทยาลัย จัดทำรายงานเด็กปฐมวัยของชาติ เก็บข้อมูลจากทั่วประเทศ

สกศ. ร่วม UNICEF และ 3 มหาวิทยาลัย จัดทำรายงานเด็กปฐมวัยของชาติ พร้อมเดินหน้าเก็บข้อมูลจาก 26 หน่วยงานทั่วประเทศ

ดร.ภูมิพัทธ เรืองแหล่ ผู้ช่วยเลขาธิการสภาการศึกษา ประธานการประชุมหารือหน่วยงานในการจัดทำรายงานสภาวการณ์การพัฒนาเด็กปฐมวัยในประเทศไทย โดยมี ดร.ทินสิริ ศิริโพธิ์ เจ้าหน้าที่ด้านเด็กปฐมวัย องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย และ ผศ.ดร.วีณัฐ สกุลหอม คณบดีคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ผศ.ดร.พรชุลี ลังกา หัวหน้าคณะผู้วิจัย และคณะนักวิจัย รศ.ดร.จีระพันธุ์ พูลพัฒน์ ดร.วรนาท รักสกุลไทย ผศ.ดร.เอื้ออารี จันทร ดร.อนุชา แข่งขัน ดร.ประภาศรี นันท์นฤมิต ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเด็กปฐมวัยกว่า 26 หน่วยงาน และนางพัชราพรรณ กฤษฎาจินดารุ่ง ผู้อำนวยการสำนักนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย ร่วมประชุมในรูปแบบผสมผสานออนไลน์และออนกราวด์ ณ ห้องประชุมกำแหง พลางกูร สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา

ดร.ภูมิพัทธ เรืองแหล่ ผู้ช่วยเลขาธิการสภาการศึกษา

ดร.ภูมิพัทธ กล่าวว่า ความสำคัญของการพัฒนาเด็กปฐมวัยคือรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศ เป็นช่วงเวลาที่สมองและศักยภาพของเด็กจะได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว เพื่อให้พวกเขาเติบโตอย่างมีคุณภาพเป็นการสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพและช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคม การประชุมหารือวันนี้ การดูแลและพัฒนาเด็กปฐมวัยต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน ตั้งแต่ช่วงมารดาตั้งครรภ์จนถึงการเข้าโรงเรียน นอกจากนี้การติดตามสถานการณ์และจัดทำ “รายงานสภาวะการพัฒนาเด็กปฐมวัย” เป็นสิ่งสำคัญ เป้าหมายสูงสุดคือการทำให้เด็กไทยทุกคนได้รับการพัฒนาอย่างรอบด้าน ทั้งร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ทั้งนี้ สกศ.จะนำข้อมูลไปใช้กำหนดนโยบายและแนวทางการดำเนินงานของประเทศต่อไป

ดร.ทินสิริ ชี้แจงความร่วมมือในการจัดทำรายงานสภาวการณ์ฯ การพัฒนาเด็กปฐมวัยในประเทศไทยว่า การจัดทำรายงานนี้เป็นงานวิจัยความร่วมมือระหว่าง UNICEF ประเทศไทย และสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ทีมวิจัยประกอบด้วยนักวิจัย 3 มหาวิทยาลัย ได้แก่ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มีกรอบครอบคลุม 5 องค์ประกอบหลักในการพัฒนาเด็ก ได้แก่ สุขภาพที่ดี โภชนาการ การดูแลเอาใจใส่ การปกป้องคุ้มครอง และการส่งเสริมความพร้อมในการเรียนรู้ ซึ่งวัตถุประสงค์หลักการจัดทำรายงาน 3 ข้อ ได้แก่ 1) วิเคราะห์ช่องว่างและความท้าทาย เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและนโยบายที่ผ่านมาว่ามีจุดอ่อนหรือช่องว่างตรงไหนบ้าง เพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้น 2) สร้างหลักฐานเชิงประจักษ์ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าการลงทุนในเด็กปฐมวัยให้ผลตอบแทนสูงจริง และใช้เป็นหลักฐานในการผลักดันให้การพัฒนาเด็กเป็นนโยบายระดับชาติ 3) สนับสนุนการกำหนดนโยบาย เพื่อให้รัฐบาลมีข้อมูลเชิงลึกที่ชัดเจนในการวางนโยบายและแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัย ซึ่ง UNICEF เป็นผู้สนับสนุนเบื้องหลัง โดยต้องการให้รายงานฉบับนี้เป็นข้อมูลของประเทศไทย เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปใช้ในการวางแผนและผลักดันนโยบายได้อย่างต่อเนื่อง

ผศ.ดร.พรชุลี กล่าวถึงสาระสำคัญของการทำวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสำรวจและประเมินสถานการณ์ปัจจุบันของนโยบาย การบริการ และการประสานงานที่เกี่ยวข้องกับเด็กเล็ก เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาและเสนอแนะแนวทางที่เป็นรูปธรรม มีเป้าหมายในการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง 6 กระทรวง เพื่อให้แน่ใจว่าการพัฒนาเด็กในประเทศไทยเป็นไปอย่างเต็มศักยภาพ แบ่งเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การประเมินสถานการณ์ เป็นการรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิจากหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อสร้างภาพรวมของสถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงการระบุปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น ระยะที่ 2 การเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ ทีมวิจัยจะลงพื้นที่ในจังหวัดที่เป็นตัวแทนของแต่ละภาคทั่วประเทศ เช่น เชียงราย ราชบุรี ศรีสะเกษ ระยอง นราธิวาส และกรุงเทพมหานคร เพื่อสัมภาษณ์ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง ตั้งแต่ผู้กำหนดนโยบายไปจนถึงผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ เช่น ครู ผู้ดูแลเด็ก และผู้ปกครอง เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัญหาที่แท้จริง

ระยะที่ 3 การเสนอกรอบการติดตามและประเมินผล เมื่อได้ข้อมูลครบถ้วน จะนำมาสร้างเป็นกรอบการทำงานแบบบูรณาการเพื่อติดตามและประเมินผลการพัฒนาเด็กปฐมวัยอย่างเป็นระบบ โดยจะมีการจัดประชุมกลุ่มย่อยกับคณะกรรมการและผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาข้อสรุปร่วมกัน ระยะที่ 4 ขั้นตอนสุดท้าย การให้ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติ นำข้อมูลและผลการวิเคราะห์ทั้งหมด สรุปเป็นข้อเสนอแนะที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง เพื่อปรับปรุงนโยบายและการให้บริการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สำหรับการประชุมครั้งนี้มุ่งเน้นที่การขอข้อมูลเพื่อใช้ในระยะที่ 1 โดยมีเป้าหมายเพื่อขอความร่วมมือหน่วยงานที่ดูแลเรื่องเด็กปฐมวัยจะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาเด็กปฐมวัยในประเทศไทย

นอกจากนี้ ที่ประชุมร่วมกันการจัดทำรายงานดังกล่าว ประเด็น กรอบข้อมูลที่จำเป็นในการจัดทำรายงานระบุผู้ให้ข้อมูลหลักในการติดตามขอข้อมูลเชิงลึกในหน่วยงานนั้น ๆ เสนอแนะแนวทางในการลงพื้นที่เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพในพื้นที่ แนวทางและกลไกในการสืบต้นหาข้อมูลทั้งเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ ในระดับหน่วยงานส่วนกลางและภูมิภาค ข้อเสนอแนะเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูล รูปแบบการจัดทำรายงาน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *